เว้นระยะของแต่ละ stitch ให้เท่าๆกัน และให้ความกว้างของ stitch เป็น square (box) pattern ดังรูป 7 รูปที่ 5 การปักเข็มและระยะห่างจากขอบแผลและความลึกของบาดแผล รูปที่ 6 surgical notch รูปที่ 7 แสดงระยะห่างของแต่ละ stitch การเลือกวิธีการเย็บบาดแผล 1. Simple suture เหมาะสำหรับแผลที่ตื้น ก้นแผลไม่ลึก 2. Vertical mattress เหมาะสำหรับแผลที่ก้นแผลลึกต้องการแรงดึงจากไหมและให้ขอบแผลชนกันสนิทป้องกันการเกิดการม้วนของขอบแผลลงไปด้านใน 3. Horizontal mattress เพิ่มแรงดึงเนื้อเยื่อเข้าหากัน 4. Tree corner เหมาะสำหรับแผลฉีกขาดที่มีมุม ลดการขาดเลือดของเนื้อเยื่อบริเวณมุม 5. Continuous suture การเลือกใช้งานใกล้เคียงกับ Simple suture แต่จะทำให้เลือดมาเลี้ยงแผลได้ลดลงและ ควบคุมความแน่นหรือหลวมหลอดแผลได้ยากกว่าการเย็บเป็นคำๆ (interrupted stitch) 6.
วัสดุที่ละลายได้เอง (Absorbable Sutures) ประกอบด้วยเส้นใยธรรมชาติ ได้แก่ Catgut ทำมาจาก Collagen ใน Submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว ละลายได้เพราะกระตุ้นให้เกิด acute inflammation โดยรอบ เริ่มยุ่ยและแตกภายใน 4-5 วัน และจะหมดไปภายใน 2 สัปดาห์ เส้นใยสังเคราะห์เช่น Polyglycolic acid (Dexon), Polyglycan (Vicryl) และ Polydioxanone (PDS) Plain catgut ละลายได้เร็ว 5-10 วัน ใช้เย็บกล้ามเนื้อที่ไม่ลึกมาก ไม่ต้องใช้แรงในการดึงรั้งมาก เช่น บริเวณปาก ลำตัวที่แผลไม่ลึก Chromic catgut ละลายได้ช้า 10-20 วัน ไม่ค่อยระคายเคือง ใช้ในการเย็บกล้ามเนื้อที่ต้องใช้ระยะเวลานานเพื่อที่จะทำให้แผลติด 2.
ชนิดของการทำแผล 1. การทำ แผล แบบแห้ง (dry dressing) ใช้สำหรับทำ แผล สะอาด แผล ปิด แผล ที่ไม่มีการ อักเสบเป็น แผล เล็ก ๆ ที่ไม่มีสิ่งขับหลั่งมาก 2. การทำ แผล แบบเปียก (wet dressing) ใช้สำหรับทำ แผล ที่มีลักษณะเป็น แผล เปิด แผ ล อักเสบติดเชื้อ แผล ที่มีสิ่งขับหลั่งมาก ซึ่งการปิด แผล ขั้นแรกจะใช้วัสดุที่มีความชื้น เช่น ก๊อสชุบน้ำเกลือ (0. 9% normal saline) ปิดไว้แล้วปิดด้วยก๊อสแห้งอีกครั้ง วัตถุประสงค์ของการทำแผล 1. เพื่อให้สภาวะที่ดีเหมาะแก่การงอกของเนื้อเยื่อ 2. ดูดซึมสิ่งขับหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง หนอง เป็นต้น 3. จำกัดการเคลื่อนไหวของ แผล ให้อยู่นิ่ง 4. ให้ความชุ่มชื้นกับพื้นผิวของ แผล อยู่เสมอ 5. ป้องกันไม่ให้ผ้าปิด แผล ติดและดึงรั้งเนื้อเยื่อที่งอกใหม่ 6. ป้องกัน แผล หรือเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่จากสิ่งกระทบกระเทือน 7. ป้องกัน แผล ปนเปื้อนเชื้อโรคจากอุจจาระปัสสาวะสิ่งสกปรกอื่น ๆ 8. เป็นการห้ามเลือด 9. ผู้ป่วยสุขสบาย ขอขอบคุณ
Midline episiotomy episiotomy การตัดฝีเย็บที่นิยมใช้กันทั่วไปมี 2 แบบ (ตามภาพเจ้าค่ะ👆🏽) 1. Midline episiotomy: คือการตัดในแนวตรงดิ่งลงมาจะนิยมกันในอเมริกา ข้อดีคือ จะเย็บซ่อมง่ายกว่าแบบที่ 2 แต่ข้อเสียคือมีโอกาสที่จะฉีกขาดยาวไปถึงกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักได้ 2. Medio-lateral episiotomy: เป็นการตัดที่เฉียงออกมาจากกึ่งกลางอย่างน้อย 45 องศา ซึ่งในประเทศไทยก็นิยมใช้แบบนี้ เนื่องจากเป็นวิธีที่เพิ่มความกว้างของช่องคลอดได้มากที่สุด และโอกาสเกิดการฉีกขาดของหูรูดทวารหนักนั้นน้อยกว่า ส่วนข้อเสียของวิธีนี้คือ เย็บซ่อมยากกว่าวิธีแรก อาจเสียเลือดมากกว่า และเจ็บปวดหลังคลอดมากกว่า แล้วจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องตัดฝีเย็บตอนคลอดธรรมชาติ? คำตอบคือ... ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ สำหรับในผู้หญิงที่เคยคลอดบุตรแบบธรรมชาติมาแล้วหลายครั้ง (ประมาณ 3-4 ท้อง ช่องคลอดก็จะหลวมๆหน่อย 😱) บางคนที่มี่เคยเจอ เป็นผู้หญิงครรภ์ที่ 5 ยังไม่ทันได้เบ่งเลย... หัวน้องทารกก็ออกมาแล้วว!! แต่สำหรับครรภ์แรก ก็จำเป็นต้องตัดค่ะ เพราะช่องคลอดยังไม่ผ่านการคลอดบุตรเดี๋ยวจะเกิดปัญหาตามมา ซึ่ง 1 ในปัญหาที่ว่านั้นก็คือ.. คือ.. คืออออ "แผลฉีกขาดที่ฝีเย็บ" หรือ Perineal Tear แทร์นะคะ not เทียร์ เพราะมี่เคยอ่านว่าเทียร์มาแล้ว =.
สินแพทย์